Wednesday, 28 September 2022

att gå กับ att åka ต่างกันอย่างไร (What’s the difference between gå and åka?)


 


คำกริยาทั้งสองนี้  "gå กับ att åka" แปลได้ว่า "ไป" แต่

ATT ÅKA

att åka หมายความว่า การเดินทางหรือไปโดยใช้ยานพาหนะบางประเภท (รถไฟ รถบัส ฯลฯ) พูดง่ายๆคือ การย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยความช่วยเหลือบางอย่าง เช่น รถยนต์ รถประจำทาง หรือสกี ฯลฯ ในภาษาอังกฤษคือ to ride, to take (buss, boat, plane, etc.)

* ผันคำ åka (åker, åkte, åkt) – röra sig med hjälp av något, resa.

åka bil
to go by car
ไปโดยรถยนต์

åka buss
to go by bus
ไปโดยรถบัส

åka skidor
to ski
เล่นสกี

åka cykel
to go by bike
ไปโดยจักรยาน

åka båt
to take a boat
ไปโดยเรือ

åka rullskridskor
to rollerskating

åka bergochdalbana
to ride a rollercoaster
นั่งรถไฟเหาะ

เมื่อคุณเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง เช่น:

åka till fjällen
to go to the mountains
ไปภูเขา (ในกรณีนี้เราใช้ åka เพราะคุณไม่สามารถเดินเท้าได้)

åka utomlands
to go abroad
ไปต่างประเทศ (ในกรณีนี้เราใช้ åka เพราะคุณไม่สามารถเดินเท้าได้)

ตัวอย่าง
Jag ska åka till affären.
I'm going to the store (by car/bike/bus etc) 
ฉันจะไปร้าน (โดยรถยนต์/จักรยาน/รถบัส ฯลฯ)

ATT GÅ

att gå แปลว่า ไปหรือการเดินเท้า (ไม่ว่าจะเป็น เดิน, เดินขบวน, ไป, เดินทาง, ออกเดินทาง, ผ่านไป, แล่นเรือ, วิ่ง สิ่งที่ทำด้วยเท้า) ในภาษาอังกฤษคือ to walk, to run, to march, on foot 

ผันคำ gå (går, gick, gått) – flytta sig med hjälp av fötterna på vanligt sätt, röra sig åt något håll, lämna en plats.

ตัวอย่าง
Jag ska gå till affären.
I'm going to the store (on foot)
ฉันจะไปร้าน (เดินเท้า)

แต่มีข้อยกเว้นในการใช้ "gå"

1. เมื่อคุณถามถึงทางหรือทิศทาง

Går det här tåget till Malmö?
Does this train go to Malmö?
รถไฟขบวนนี้ไป Malmö หรือไม่? 

Vart går den här vägen?
Where does this road go (lead) to?
ถนนสายนี้ไปทางไหน?  

2. การขอให้เดินทางโดยสวัดิภาพ

Hoppas att resan går bra.
Hope the trip goes well.
หวังว่าการเดินทางจะเป็นไปด้วยดี 

3. การเน้นเสียงคำในประโยคและการถามถึงสิ่งที่ทำ, สิ่งที่เป็น หรือ กิจวัตร

gå i skolan / gå i kyrkan / gå på bio 
to go to school / to go to church / to go to the movies
ไปโรงเรียน / ไปโบสถ์ ไปโรงเรียน / ไปดูหนัง  (ใช้ เพราะแค่จะบอกสิ่งที่จะทำ ไม่ได้หมายถึงการเดินทาง)
* หากคุณเน้นคำว่า "Gå" ในประโยค มักจะหมายถึง "เดิน" ถ้าคุณไม่เน้น "Gå" ก็มักจะเป็น "Gå" ที่หมายถึงสิ่งที่ทำ, สิ่งที่เป็น หรือ กิจวัตร

เปรียบเทียบ 2 ประโยคนี้

Ska du *gå* dit? เน้นเสียงที่ "Gå"
 
Are you walking there?
คุณกำลังเดินไปที่นั่น?  

Ska du gå *dit*?   เน้นเสียงที่ "dit" 
Are you going there?
คุณจะไปที่นั่นไหม

4. การเดินทางสำหรับคำนามนับไม่ได้

Ljus går mycket snabbare än ljud.
Light travels much faster than sound.
แสงเดินทางเร็วกว่าเสียงมาก 

5. ความหมายเฉพาะ "gå" หมายความว่า  "เป็นไปได้!  / ได้!/

Det går inte!
It doesn't work! / We can't do it! /
มันเป็นไปไม่ได้!  / เราทำไม่ได้! / 

A: Kan jag komma imorgon?
A: Can I come tomorrow?
A: พรุ่งนี้ฉันมาได้ไหม 
B: Ja, det går bra!
B: Sure, that's alright!
B: แน่นอน ไม่เป็นไร!

ตัวอย่างเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบ

Han åker tunnelbana till jobbet. (ในกรณีนี้เราใช้ åka เพราะคุณไม่สามารถเดินเท้าได้ ใช้ยานพาหนะ)
He takes the subway to work.
เขานั้งรถไฟใต้ดินไปทำงาน

Anne åker till Thailand i firmans ärenden. (ในกรณีนี้เราใช้ åka เพราะคุณไม่สามารถเดินเท้าได้ ใช้ยานพาหนะ)
Anne is going to Thailand on company's business.
แอนเดินทางไปเมืองไทยเพื่อทำธุรกิจของบริษัท 

På sommaren åkte vi till Thailand.
In the summer we went to Thailand. 
ในฤดูร้อนเราไปเมืองไทย

Jag går sällan på opera. (บอกสิ่งที่ทำ, สิ่งที่เป็น หรือ กิจวัตร)
I rarely go to the opera. 
ฉันไม่ค่อยไปโอเปร่า 

Jag åker in till stan. (ในกรณีนี้เราใช้ åka เพราะคุณไม่สามารถเดินเท้าได้ 
ใช้ยานพาหนะ)
I'm going into town.
ฉันจะเข้าไปในเมือง

Jag går in till stan. (ในกรณีนี้เราใช้ går เพราะคุณเดินเท้าไปในเมือง)
I'm going into town.
ฉันจะเข้าไปในเมือง

Jag åker till Stockholm. (ในกรณีนี้เราใช้ åka เพราะคุณไม่สามารถเดินเท้าได้)
I'm going to Stockholm
ฉันจะไปสตอกโฮล์ม

Anne åker till flygplatsen. (ในกรณีนี้เราใช้ åka เพราะคุณไม่สามารถเดินเท้าได้)
Anne goes to the airport.
แอนไปสนามบิน

Vi går i bastu varje lördag. (บอกสิ่งที่ทำ, สิ่งที่เป็น หรือ กิจวัตร)
We go to the sauna every Saturday.
เราไปซาวน่าทุกวันเสาร์ 

Våra barn går ännu i skola. (บอกสิ่งที่ทำ, สิ่งที่เป็น หรือ กิจวัตร)
Our children are still in school.
ลูกของเรายังเรียนอยู่



Monday, 26 September 2022

If I was หรือ If I were อันไหนถูกต้อง (Conditional sentences — Type 2 — If I were you)

 





เมื่อใดควรใช้ If I was

“If I was” ใช้กับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นไปแล้วในอดีตใช้เพื่อแสดงบางสิ่งที่เป็นจริงเมื่อหรือหากมีสิ่งๆนั้นเกิดขึ้นในอดีต

If I was sick, he would take me to the hospital.
ถ้าฉันป่วย เขาคงจะพาฉันไปโรงพยาบาล

If I was being mean to you, I'm really sorry.
ถ้าฉันใจร้ายกับคุย ฉันขอโทษจริงๆ

If I was rude to you, I apologise.
ถ้าฉันหยาบคายกับคุณ ฉันขอโทษ

If she was going to the party she would have told you already.
ถ้าหล่อนจะไปงานเลี้ยง หล่อนคงจะบอกคุณไปแล้วล่ะ

เมื่อใดควรใช้ If I were

“If I were” ใช้กับประโยคสมมุติ เเมื่อประธานของประโยคอ้างถึงสถานการณ์สมมติ จินตนาการ หรือสถานการณ์ที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง

If I were a boy, I would treat you better than him.
ถ้าฉันเป็นเด็กผู้ชาย ฉันจะปฏิบัติต่อคุณดีกว่าเขา 
*แต่ในชีวิตจริงคุณไม่ใช่ผู้ชาย คุณเป็นผู้หญิง

If I were Bill Gates, I would be the richest person in the world.
ถ้าฉันเป็น Bill Gates ฉันจะเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
แต่ในชีวิตจริงคุณไม่ใช่  Bill Gates

If I were rich, I would travel in the world.
ถ้าฉันรวย ฉันจะเที่ยวรอบโลก
*ตอนนี้ยังไม่รวย และอาจจะไม่รวยก็ได้ 

If he were a cat, he would take nap all day.
ถ้าเขาเป็นแมว เขาคงนอนทั้งวัน
*คนกลายเป็นแมวไม่ได้ จึงเป็นเรื่องสมมุติเกินจริง

ตัวอย่างประโยค

If I were rich, I would ...
ถ้าฉันรวย ฉันจะ... 

If I were the president of my country
ถ้าฉันเป็นประธานาธิบดีของประเทศฉัน

I would... If were a bird.
 ฉันจะ... ถ้าเป็นนก 

I would... If I were young again.
ฉันจะ... ถ้าฉันยังเด็กอีกครั้ง

เปรียบเทียบ If I was หรือ If I were

If I were you I would call her. → subjunctive mood (สถานการณ์สมมติ)
If I was you I would call her. → past simple (อดีต)

Incorrect: If I was you, I would tell him the truth.
ไม่ถูกต้อง: ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะบอกความจริงกับเขา
Correct: If I were you, I would tell him the truth. 
ถูกต้อง: ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะบอกความจริง
กับเขา

Incorrect: If I were rude, I’m sorry. 
ไม่ถูกต้อง: ถ้าฉันหยาบคายฉันขอโทษ 
Correct: If I was rude, I’m sorry.
ถูกต้อง: ถ้าฉันหยาบคายฉันขอโทษ

Incorrect If I was a rich man, I would make more charitable donations. 
ไม่ถูกต้อง หากฉันเป็นเศรษฐี ฉันจะบริจาคเพื่อการกุศลมากกว่านี้ 
Correct f I were a rich man, I would make more charitable donations. 
ถูกต้อง ถ้าฉันเป็นเศรษฐี ฉันจะบริจาคเพื่อการกุศลมากกว่านี้ 

Incorrect If he was here right now, he would help us. 
ไม่ถูกต้อง ถ้าเขาอยู่ที่นี่ตอนนี้เขาจะช่วยเรา 
Correct If he were here right now, he would help us.
ถูกต้อง ถ้าเขาอยู่ที่นี่ตอนนี้ เขาจะช่วยเรา


  1. แบบฝึกหัดConditional sentences — Type 2 — If I were you




Saturday, 24 September 2022

รู้งี้...น่าจะ(อย่างงั้น อย่างงี้) ภาษาอังกฤษใช้คำว่า???

เพื่อนๆเคยมีอาการเสียดายกันบ้างไหมคะ เสียดายที่ไม่ได้ทำแบบนั้นหรือเสียดายในสิ่งที่ได้ทำไปในอดีต ภาษาอังกฤษจะมีมีวิธีพูดอย่างไรน้า เรามาดูกันเลยค่ะ


Should have + verb participle (v.3)

Should have + verb participle (v.3) คือ ควรทำสิ่งนั้นในอดีต เพราะในปัจจุบันไม่ได้ทำ จึงเกิดอาการเสียดายที่ไม่ได้ทำมันลงไป 

ตัวอย่าง

I should have called you sooner. 
รู้งี้ฉันควรจะโทรหาคุณเร็วกว่านี้

I should have read the directions before starting.
ฉันควรจะอ่านคำแนะนำก่อนเริ่ม

I should have eaten breakfast this morning.
รู้งี้เช้านี้ฉันน่าจะกินข้าวเช้า

I should have listened to your advice.
รู้งี้ฉันควรจะฟังคำแนะนำของเธอ

I should have married her when I had the chance.
รู้งี้ฉันควรจะแต่งงานกับเธอเมื่อมีโอกาส

You should have spoken to me before deciding.
รู้งี้คุณควรคุยกับฉันก่อนตัดสินใจ

I should have bought that bag. I like it so much.
ฉันน่าจะซื้อกระเป๋าใบนั้น ฉันชอบมันมาก

I should have listened to me.
รู้งี้ฉันควรฟังเธอนะ

You should have brought your eye glasses with you.
รู้งี้เธอควรหยิบแว่นของเธอมาด้วย

I failed the test. I should have studied harder.
ฉันสอบตก รู้งี้ฉันน่าจะตั้งใจทบทวนบทเรียนมากกว่านี้

You should have used protection last night. Sigh!
รู้งี้เมื่อคืนเธอน่าจะป้องกันนะ! เฮ้อออ

I should have gone with you.
รู้งี้ฉันควรจะไปกับคุณ

I should have studied more for my test.
ฉันควรจะศึกษามากกว่านี้เพื่อการสอบของฉัน 

Shouldn’t have + verb participle (v.3)

Shouldn’t have + verb participle (v.3) คือ ไม่ควรทำสิ่งนั้นลงไปเลย 

ตัวอย่าง

I should not have done that!
รู้งี้ไม่น่าทำเลย!

I should not have stayed awake so late last night.I'm really tired today. 
รู้งี้ฉันไม่ควรตื่นนอนดึกแบบนี้เมื่อคืนนี้ วันนี้ฉันเหนื่อยมาก 

I shouldn't have shouted at her.
รู้งี้ฉันไม่ควรตะโกนใส่เธอ

I shouldn’t have invited her to the cinema. Linda talked all the way through the movie.
ฉันไม่น่าชวนเธอมาดูหนังด้วยเลย ลินดาพูดตลอดเวลาเลย 

My cousin is in jail. He shouldn’t have robbed a bank.
ลูกพี่ลูกน้องของฉันของฉันติดคุก เขาไม่ควรปล้นธนาคารเลย

We shouldn’t have watched it. The movie was boring!
รู้งี้เราไม่น่าไปดูหนังเลย หนังน่าเบื่อมาก!

สรุปอีกรอบนะคะ  Should have + v.3 คือ สิ่งควรทำในอดีต ส่วน Shouldn’t have + v3 คือ สื่งที่ไม่ควรทำอดีต ถ้าเราไม่อยากต้องนั่งเสียดายอะไรในอดีต ก็ต้องคิดดี ๆ คิดก่อนทำกันนะคะทุกคน 

Thursday, 22 September 2022

ไม่ต้องกังวล" ในภาษาสวีเดน - igen ko på isen idiom




ถ้าแปลสำนวนนี้โดยตรงจะหมายความว่า "ไม่มีวัวอยู่บนน้ำแข็ง"

Ingen ko 
No cow
ไม่มีวัว 

på isen 
on the ice
บนน้ำแข็ง 

สำนวนนี้ "Ingen ko på isen" จะแปลว่า "ไม่ต้องเป็นห่วง" หรือ "ไม่ต้องเป็นกังวล" จะมีความหมายว่า "ingen fara.", "oroa dig inte" , 
 หรือ "ingen särskild brådska" ในภาษาสวีเดนนั้นเองค่ะ


Photo: www.bingolotto.se/nyheter/bingobloggen/

ตัวอย่าง

Ta det lugnt, det är ingen ko på isen.

Take it easy! There is no cow on the ice.
ใจเย็นๆ! ไม่ต้องกังวลไป

Men det är nog ingen ko på isen.
It's hardly a smoking gun.
แทบไม่มีหลักฐาน

เรื่องเล่าขำๆ

เรื่องเล่า 1

วัวบนน้ำแข็งในทะเลสาบ หากเป็นน้ำแข็งที่สะอาด (ไม่ใช่หิมะปกคลุม) ค่อนข้างจะควบคุมเท้าไม่ได้ ไม่สนใจทิศทางที่มันลื่นไถล มันอาจทำให้ขาหักได้ง่าย ในเวลาเดียวกัน มันหนักกว่ามนุษย์มาก ดังนั้นมันอาจทะลุผ่านน้ำแข็งที่มนุษย์สามารถเดินได้อย่างปลอดภัย โดยรวมแล้ว วัวกำลังตื่นตระหนก มนุษย์ที่พยายามจะจับมันขึ้นฝั่งกำลังวิ่งไปรอบๆ ด้วยความโกลาหลทั้งหมด และเป็นปรากฏการณ์สำหรับทุกคนในหมู่บ้านและเป็นเรื่องที่ต้องบอกลูกหลานของคุณนั้นเองค่ะ

เรื่องเล่า 2

เคยเป็นกิจวัตรประจำวันในการพาวัวไปที่ทะเลสาบที่พวกมันสามารถดื่มนำ้ได้ใ นฤดูหนาว ทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็ง วิธีแก้ปัญหาคือเจาะนำ้แข็งเป็นรู รูต้องอยู่กลางทะเลสาบเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าคุณภาพน้ำดี

การนำวัวออกไปบนน้ำแข็งเป็นสิ่งที่มีความเสี่ยงสูง มนุษย์ที่ลื่นบนน้ำแข็งจะตกลงไปในทิศทางเดียวและอาจทำร้ายตัวเองได้ วัวต้องเผชิญกับอันตรายมากขึ้นเนื่องจากสามารถลื่นเพื่อให้ขาหลังเลื่อนไปข้างหน้าและขาหน้าจะเลื่อนไปข้างหลังพร้อมกัน หากเป็นเช่นนั้นขาจะงอออกจากตำแหน่งและวัวจะไม่สามารถฟื้นตัวได้

วัวมีแนวโน้มที่จะลื่นบนน้ำแข็ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ร้ายแรงนี้ อาจจะทำให้วัวตายได้ เวลาวัวตายแล้วอาจหมายถึงความอดอยากและความตายสำหรับครอบครัว เพราะฉนั้นในสมัยก่อนวัวตัวอื่นจะถูกมัดไว้บนบก ในขณะที่วัวอีกตัวหนึ่งจะถูกพาไปที่รูในน้ำแข็ง มีการคุ้มกันอย่างระมัดระวังนั้นเองค่ะ

Thursday, 8 September 2022

A กับ An แตกต่างกันยังไง และมีวิธีการใช้อย่างไร



การเลือกใช้ a หรือ an จะดูจาก อักษรตัวแรกของคำนามที่ถูกนำหน้า 

1. ใช้ a หรือ an หน้าคำนามนับได้ (countable nouns) ย้ำว่าต้องเป็นคำนามนับได้ (countable nouns) เท่านั้น
2. ต้องเป็นคำนามเอกพจน์ (singular) เท่านั้น 
3. เราจะใช้ a เมื่อคำนามถัดไปขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ (consonants) และใช้ an เมื่อคำนามคำถัดไปเริ่มต้นด้วยสระ (vowels - a,e,i,o,u)

แต่จะมีข้อยกเว้นในการใช้

1.  หากคำเริ่มต้นด้วย u และ eu โดยออกเสียงเหมือนคำว่า you ซึ่งออกเสียงเป็นตัว Y ซึ่งเป็นพยัญชนะ ให้ใช้ a  

ตัวอย่างเช่น

a ukelele (อูคูเลเล่)

a university (
มหาวิทยาลัย)

a uniform (
เครื่องแบบ)

a unit (
หน่วย)

a European (
ชาวยุโรป)

a euro (หนึ่งยูโร)

    2. หากคำไหนขึ้นต้นด้วย h แต่ไม่มีเสียง h ให้ใช้ an

    ตัวอย่างเช่น

    an hour (หนึ่งชั่วโมง)

    an heir (
    ทายาท

    an herb (
    สมุนไพร)

    3. เราสามารถใช้ a หรือ an นำหน้าคำนามนับที่นับไม่ได้ (uncountable nouns) ได้บางกรณีค่ะ

    ตัวอย่างเช่น คำว่า "a water" ใช้ได้ เวลาที่เราพูดว่า "Can I have a water?" คนจะคิดว่าเราต้องการน้ำสักแก้ว. นั้นเองค่ะ เหมือรเราละคำว่า  "a glass of water" ในฐานที่เข้าใจนั้นเองค่ะ

    หรือคำว่า "Passion" ก็สามารถใช้โดยมีหรือไม่มีคำว่า "a" นำหน้าก็ได้เหมือนกันค่ะ

    ตัวอย่าง

    A: Waiter, I want a water, please. (คือ I want a glass of water. นั้นเองค่ะ)
    A: บริกร ฉันต้องการน้ำ ได้โปรด 
    B: Who else wants water?
    B: ใครต้องการน้ำอีกบ้าง?

    I have a passion for art.  (คือ 
    My passion is art.)

    Helium is a gas. (คือ  Helium is a type of gas. นั้นเองค่ะ)

    It's a very good soap. (คือ a kind of soap )

    ***ไม่ผิดหรอกที่จะบอกว่า "a water" เจ้าของภาษาพูดตลอดเวลา เป็นคำสั้นๆ ที่พูดว่า "a glass/bottle of water"


    เรามาดูวิธีการใช้ A กับ Anกันค่ะ

    - ใช้ a และ an เมื่อกล่าวในรูปเอกพจน์

    ตัวอย่างเช่น
    • a girl
      หญิงสาวคนหนึ่ง
    • an apple
      แอปเปิ้ลรถ
    • a helicopter
      เฮลิคอปเตอร์
    • an big elephant
      ช้างตัวใหญ่
    • an itchy sweater
      เสื้อกันหนาวที่คัน
    • an ugly duck
      เป็ดขี้เหร่
    • a European
      ชาวยุโรป
    • a university
      มหาวิทยาลัย
    • a unit
      หน่วย
    • an hour
      หนึ่งชั่วโมง
    • an honor
      เป็นเกียรติ

    - ใช้ a และ an เมื่อกล่าวถึงสิ่งนั้น ๆ เป็นครั้งแรก

    ตัวอย่างเช่น

    • Would you like a drink?
      คุณต้องการเครื่องดื่มไหม
    • I've finally got a good job.
      ในที่สุดฉันก็ได้งานที่ดี
    • An elephant and a mouse fell in love.
      ช้างกับหนูตกหลุมรักกัน 
    - ใช้ a และ an การกล่าวถึงสมาชิกในกลุ่มหรืออาชีพ


    ตัวอย่างเช่น

    • John is a doctor.
      จอห์นเป็นหมอ 
    • Mary is training to be an engineer.
      แมรี่กำลังฝึกเพื่อเป็นวิศวกร 
    • He wants to be a dancer.
      เขาอยากเป็นนักเต้น
    - ใช้ a และ an กับสัญชาติและศาสนาเมื่อกล่าวในรูปเอกพจน์

    ตัวอย่างเช่น
    • John is an Englishman
      จอห์นเป็นคนอังกฤษ
    • Kate is a Catholic.
      เคทเป็นคาทอลิก

    - ใช้ a และ an กับวันประจำสัปดาห์ เมื่อกล่าวโดยทั่วไปไม่ได้เจาะจง

    ตัวอย่างเช่น

    • I was born on a Thursday.
      ฉันเกิดวันพฤหัสบดี
    • Could I come over on a Saturday sometime?
      ฉันขอมาวันเสาร์ได้ไหม

    - ใช้ a และ an  เมื่อกล่าวถึงตัวอย่างเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง


    ตัวอย่างเช่น

    • The mouse had a tiny nose .
      หนูมีจมูกเล็ก
    • The elephant had a long trunk .
      ช้างมีงวงยาว
    • It was a very strange car .
      มันเป็นรถที่แปลกมาก


    - ใช้ a และ an กับคำนามเอกพจน์ที่อยู่หลังคำว่า 'what' และ 'such'


    ตัวอย่างเช่น

    • What a shame !
      น่าเสียดายอะไร ! 
    • She's such a beautiful girl .
      เธอเป็นสาวสวย !
    • What a lovely day !
       ช่างเป็นวันที่น่ารัก!


    - ใช้ a และ an เมื่อต้องการหมายถึง 'one' เพื่ออ้างถึงสิ่งเดียว คนเดียว หรือหน่วยเดียว ในประโยคเหล่านี้ สามารถใช้  "one" แทนการใช้ a ได้ เพื่อเป็นการเน้นจำนวนให้ชัดเจน


    ตัวอย่างเช่น

    • I'd like an orange and two lemons please.
      ฉันต้องการส้มหนึ่งลูกและมะนาวสองลูก 
    • I'd like one orange and two lemons please.
      ฉันต้องการส้มหนึ่งลูกและมะนาวสองลูก 
    • The burglar took a diamond necklace and some valuable paintings.
      หัวขโมยหยิบสร้อยคอเพชรและภาพวาดล้ำค่า 
    • I can think of a hundred reasons not to come.
      ฉันนึกเหตุผลเป็นร้อยๆ ที่จะไม่มา 
    • I need a kilogram of sugar.
      ฉันต้องการน้ำตาลหนึ่งกิโลกรัม 
    • I need one kilogram of sugar.
      ฉันต้องการน้ำตาลหนึ่งกิโลกรัม 
    • You can't run a mile in 5 minutes!
      วิ่งไม่ถึงไมล์ใน 5 นาที!

    A, And Online Exercise (แบบฝึกห้ด)



    Popular Post